top of page
ค้นหา

ทำอย่างไรเมื่อค่าเฉลี่ยแตกต่างกันแต่ผล ANOVA หรือ T-Test ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

  • รูปภาพนักเขียน: Data Investigator Team
    Data Investigator Team
  • 12 ต.ค.
  • ยาว 1 นาที

เป็นเรื่องที่หลายคนงงและกังวลไม่น้อย โดยเฉพาะเวลาทำงานวิจัยแล้วพบว่า

“ค่าเฉลี่ยของแต่ละกลุ่มต่างกันชัดเจน แต่ผลการทดสอบ ANOVA หรือ T-Test กลับไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p > .05)” คำถามคือ ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ ทั้งที่ดูจากตารางค่าเฉลี่ยแล้วเห็นได้ชัดว่ามีความแตกต่างมาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรที่อาจเป็นสาเหตุ และควรรับมืออย่างไรค่ะ


ทำอย่างไรเมื่อค่าเฉลี่ยแตกต่างกันแต่ผล ANOVA หรือ T-Test ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
ทำอย่างไรเมื่อค่าเฉลี่ยแตกต่างกันแต่ผล ANOVA หรือ T-Test ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ

สาเหตุที่ค่าเฉลี่ยแตกต่างแต่ผลทางสถิติไม่แตกต่าง


1. ความแปรปรวนภายในกลุ่ม (Within-group Variance) สูงเกินไป

แม้ว่าค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มต่างกัน แต่ถ้าค่าภายในแต่ละกลุ่มมีความกระจายมาก (เช่น ค่า SD สูง)สถิติจะแสดงว่าผลไม่มีนัยสำคัญ เพราะความแตกต่างที่เห็นอาจเกิดจาก “ความผันแปรภายใน” ไม่ใช่จากปัจจัยระหว่างกลุ่ม


แนวทางแก้: ควรตรวจสอบค่า Standard Deviation (SD) ของแต่ละกลุ่ม หากต่างกันมาก ควรเพิ่มจำนวนตัวอย่างหรือใช้สถิติที่รองรับความแปรปรวนไม่เท่ากัน เช่น Welch’s ANOVA หรือ Welch’s t-test


2. ขนาดกลุ่มตัวอย่าง (Sample Size) น้อยเกินไป

เมื่อกลุ่มตัวอย่างน้อย การทดสอบทางสถิติมักไม่มี “พลังในการทดสอบ” (Statistical Power) มากพอที่จะตรวจพบความแตกต่าง

แนวทางแก้:

  • เพิ่มจำนวนตัวอย่างในแต่ละกลุ่ม

  • หรือใช้ การทดสอบแบบ Non-parametric (เช่น Mann-Whitney U Test, Kruskal-Wallis Test)

    ซึ่งเหมาะกับข้อมูลขนาดเล็กหรือไม่เป็นแบบปกติ


3. การแจกแจงของข้อมูลไม่เป็นแบบปกติ (Non-normal Distribution)

สถิติ ANOVA และ T-Test มีข้อสมมติว่า ข้อมูลต้องมีการแจกแจงแบบปกติ (Normal Distribution)หากข้อมูลเบ้หรือมี Outlier มาก จะทำให้ค่าทางสถิติผิดเพี้ยนและอาจไม่ผ่านนัยสำคัญ


แนวทางแก้:

  • ตรวจสอบ Normality ด้วย Shapiro-Wilk Test หรือ Kolmogorov-Smirnov Test

  • หากไม่เป็นปกติ ควรใช้การวิเคราะห์แบบ Non-parametric แทน


4. ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยอาจไม่มีความหมายทางสถิติจริง

บางครั้งความแตกต่างที่เห็นในตัวเลขเฉลี่ย (เช่น 3.40 vs 3.46) อาจไม่มากพอที่จะถือว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะเมื่อค่าความแปรปรวนสูงหรือกลุ่มมีจำนวนไม่เท่ากัน

แนวทางแก้: พิจารณาทั้ง “ขนาดของผล” (Effect Size) ร่วมกับค่า p-value เพื่อประเมินว่าความแตกต่างที่เห็นมีนัยสำคัญทางปฏิบัติ (Practical Significance) หรือไม่


5. ข้อมูลมี Outliers หรือค่าผิดปกติ

ค่าที่ผิดปกติบางค่ามีผลต่อค่าเฉลี่ยและผลการวิเคราะห์มากหากไม่ตรวจสอบและจัดการก่อนวิเคราะห์ อาจทำให้ผล ANOVA หรือ T-Test ไม่สอดคล้องกับสภาพข้อมูลจริง

แนวทางแก้:

  • ใช้กราฟ Boxplot ตรวจสอบ Outliers

  • พิจารณาใช้ค่ามัธยฐาน (Median) แทนค่าเฉลี่ย หรือทำการ Transform ข้อมูล (Log / Z-score)


ทำไมควรใช้บริการของ Data Investigator

การวิเคราะห์ผล ANOVA หรือ T-Test ที่ไม่ผ่านนัยสำคัญทั้งที่ค่าเฉลี่ยต่างกัน ต้องอาศัยความเข้าใจทั้งด้านทฤษฎีสถิติและประสบการณ์จริงในการตีความผล ซึ่ง Data Investigator มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสถิติและการวิจัยกว่า 15 ปี พร้อมช่วยคุณในทุกขั้นตอน เช่น

  • ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและสมมติฐานทางสถิติ

  • วิเคราะห์ด้วยโปรแกรม SPSS

  • ให้คำแนะนำการเขียนคำอธิบายผลการวิเคราะห์ข้อมูลโดยละเอียด

  • ออกใบรับรองผลการวิเคราะห์ข้อมูล (Certificate of Statistical Analysis)

  • ปรึกษาแบบรายงานผลที่เข้าใจง่ายและผ่านการตรวจจากอาจารย์แน่นอน

ไม่ว่าคุณจะเป็น นักศึกษาทำวิทยานิพนธ์ นักวิจัยทางการแพทย์ หรือหน่วยงานราชการ,Data Investigator พร้อมช่วยให้คุณมั่นใจว่างานวิเคราะห์ของคุณจะถูกต้องและน่าเชื่อถือที่สุด


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ:

อีเมล์: info@datainvestigatorth.com

ไลน์: @datainvestigator

ความคิดเห็น


  • Line Logo Transparent

© 2016 DataInvestigatorTH

Data Investigator Logo (Black)_edited_ed
bottom of page